ฤดูกาลแห่งฝันร้ายของเซาแธมป์ตันได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ หลังพ่ายแพ้ต่อท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 1-3 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้นัดนี้เป็นการยืนยันแน่นอนว่า “นักบุญแดนใต้” จะต้องตกชั้นไปเล่นในศึกแชมเปียนชิพในฤดูกาลหน้า
นี่คือฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ความวุ่นวาย และความล้มเหลวในทุกระดับของสโมสร เซาแธมป์ตันกลายเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีกที่ตกชั้นทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีกถึง 7 นัด sbobet ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงฤดูกาลที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร
แม้จะยังเหลือเกมให้ลงเล่นอีกหลายแมตช์ แต่ไม่มีใครแปลกใจกับชะตากรรมของเซาแธมป์ตัน เพราะฟอร์มของทีมตลอดฤดูกาลนั้นย่ำแย่จนเกินเยียวยา หลังผ่านไป 31 นัด พวกเขามีเพียง 10 คะแนนเท่านั้น และต้องการอีกอย่างน้อย 2 คะแนนเพื่อไม่ให้กลายเป็นทีมที่มีผลงานแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แย่ยิ่งกว่าดาร์บี้ เคาน์ตี้ในฤดูกาล 2007-08
เมื่อเปรียบเทียบกับวูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมอันดับ 17 ที่อยู่เหนือโซนตกชั้น เซาแธมป์ตันตามหลังถึง 22 คะแนน และแทบไม่มีความหวังใด ๆ ที่จะไล่ตามทัน
การตกชั้นในปีนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการบริหารจัดการ การวางแท็กติก และผลงานในสนาม
แพ้ถึง 25 จาก 31 นัด – เทียบเท่าสถิติอันเลวร้ายของซันเดอร์แลนด์ (2005-06) และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (2020-21)
เสียประตูมากที่สุดในลีก (74 ประตู) – ไม่มีทีมใดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ที่เสียประตูมากเท่านี้
ยิงได้น้อยที่สุดใน 4 ดิวิชันของอังกฤษ (23 ประตู) – แสดงถึงปัญหาในแนวรุกที่ไม่มีประสิทธิภาพ
มีเพียง 10 คะแนนจาก 31 นัด – เท่ากับดาร์บี้ เคาน์ตี้ในฤดูกาลแห่งความอัปยศ 2007-08 ซึ่งจบด้วย 11 แต้ม
เซาแธมป์ตันต้องการอย่างน้อย 2 แต้มจาก 7 เกมที่เหลือ เพื่อไม่ให้จบฤดูกาลด้วยสถิติที่แย่ที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก แต่สำหรับแฟนบอลหลายคน ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว
เซาแธมป์ตันเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างเลวร้าย พวกเขาแพ้ถึง 8 จาก 9 เกมแรก และหลังจากผ่านไป 23 เกม ชัยชนะเพียงนัดเดียวคือสิ่งเดียวที่สามารถบันทึกได้
แม้จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม โดยปลด รัสเซลล์ มาร์ติน และแต่งตั้ง อิวาน ยูริช ในเดือนธันวาคม แต่ทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้ายลง
ยูริชคุมทีม 14 นัดในพรีเมียร์ลีก และเก็บชัยชนะได้เพียงครั้งเดียว แพ้ถึง 6 นัดติดต่อกันนับตั้งแต่เข้ามาคุมทีม และไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กับทีมได้เลย
ยูริช ซึ่งเซ็นสัญญากับทีมด้วยระยะเวลา 18 เดือน ยังไม่แน่ชัดว่าจะได้รับโอกาสทำทีมต่อในฤดูกาลหน้าในศึกแชมเปียนชิพหรือไม่ โดยเจ้าตัวกล่าวหลังจบเกมที่แพ้สเปอร์สว่า:
“ตอนนี้เรายังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากเกี่ยวกับอนาคต เราโฟกัสแค่เกมการแข่งขันเท่านั้น ทุกอย่างจะได้เห็นกันว่าใครคิดอย่างไร แฟนบอลสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ และเราต้องเข้าใจว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรบ้างก่อนจะสร้างทีมใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”
แม้จะเป็นวันที่ยากลำบาก แต่ยูริชยังแสดงความเคารพต่อแฟนบอลที่ยังคงให้กำลังใจทีม:
“มันเป็นวันที่โหดร้าย แต่ผมได้เห็นแฟนบอล พวกเขายังคงรักนักเตะและทีมอย่างไม่น่าเชื่อ ประสบการณ์ครั้งนี้ต้องเป็นแรงบันดาลใจให้เราสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาให้ได้”
นอกจากฟอร์มในสนามที่ย่ำแย่แล้ว ปัญหาของเซาแธมป์ตันยังสะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของสโมสร:
การซื้อขายที่ไม่ตอบโจทย์ – ผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาในฤดูกาลนี้ไม่สามารถยกระดับทีมได้ และไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสนาม
ขาดความต่อเนื่องในตำแหน่งผู้จัดการทีม – การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมบ่อยครั้งทำให้ระบบทีมไม่มั่นคง
ไม่มีความเชื่อมั่นในแนวทางการเล่น – ทีมไม่มีแผนการที่ชัดเจนในการสู้กับคู่แข่งในลีกระดับสูง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสโมสรจำเป็นต้องมีการปฏิรูปในทุกระดับ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
แม้จะตกชั้น แต่นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับเซาแธมป์ตันในการ “รีเซ็ต” สโมสร และกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกในฐานะทีมที่แข็งแกร่งขึ้น
สิ่งที่สโมสรควรพิจารณาในฤดูกาลหน้า:
ตั้งผู้จัดการทีมที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว – ไม่ใช่แค่คุมทีมเพื่อเอาตัวรอด แต่สามารถพัฒนาทีมในเชิงระบบ
วางแผนซื้อขายนักเตะอย่างชาญฉลาด – เน้นนักเตะที่มีศักยภาพและเข้ากับแชมเปียนชิพ
ดึงพลังแฟนบอลกลับคืนมา – สร้างความเชื่อมั่นใหม่ในทีม เพื่อให้เกิดแรงผลักดันจากอัฒจันทร์
พัฒนาเยาวชนจากอคาเดมี – ใช้จุดแข็งของระบบเยาวชนในการปลุกปั้นดาวรุ่งขึ้นมา
เซาแธมป์ตันเคยเป็นทีมที่มีชื่อเสียงในเรื่องการพัฒนาเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นแกเร็ธ เบล, ธีโอ วัลคอตต์ หรืออเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และนี่คือโอกาสที่ดีในการหวนกลับไปใช้จุดแข็งเดิมนั้น
ฤดูกาลนี้อาจเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดที่สุดของเซาแธมป์ตัน แต่ก็สามารถเป็นบทเรียนสำคัญและจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูครั้งใหม่ได้เช่นกัน
เซาแธมป์ตันเคยตกชั้นและกลับขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง พวกเขาสามารถทำได้อีกครั้ง หากรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดในวันนี้ และสร้างระบบทีมที่มั่นคงในวันพรุ่งนี้
จากความพ่ายแพ้สู่การเริ่มต้นใหม่ — หากสโมสรสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้ แฟนบอลอาจจะได้เห็น "นักบุญ" กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในเวลาไม่นาน